ในยุคที่ทุกก้าวย่างบนโลกออนไลน์ได้ทิ้งรอยเท้าดิจิทัลจำนวนมากเอาไว้ ทำให้ธุรกิจสามารถรับรู้พฤติกรรมของผู้บริโภค ข้อมูลจึงกลายเป็นทรัพยากรที่มีค่าดุจน้ำมันในโลกยุคใหม่ ดั่งคำกล่าวที่ว่า Data is the new oil
และในมุมของการทำธุรกิจแล้ว การตลาดที่สามารถหยิบจับ Metrics ต่าง ๆ เพื่อนำมาตรวจวัดความสำเร็จของแคมเปญก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ เราเรียกสิ่งนี้ว่า Performance Marketing หรือ การตลาดแบบวัดผลได้
คำถามคือ Performance Marketing ต่างจาก Traditional Marketing ที่เราคุ้นเคยกันอย่างไร แล้วการตลาดแบบใหม่มีข้อดีอย่างไรบ้าง ทำไมธุรกิจในโลกยุคใหม่จึงต้องสนใจเรื่องนี้ เราลองมาดูกัน
Performance Marketing กับ Traditional Marketing ต่างกันอย่างไร?
เพื่อเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Performance Marketing หรือการตลาดแบบวัดผลได้ กับ Traditional Marketing หรือการตลาดแบบดั้งเดิม เราขอตั้งต้นจากตัวอย่างของการตลาดแบบดั้งเดิมที่พบเห็นกันจนชินตากันก่อน
Traditional Marketing ประกอบด้วยการตลาดที่ไม่ได้อยู่บนโลกออนไลน์ เช่น
- โฆษณาตาม BTS
- โฆษณาโทรทัศน์
- ใบปลิว
- บูธจัดแสดงสินค้า
ข้อดีของ Traditional Marketing คือ มีความน่าจดจำ เข้าถึงลูกค้าได้หลากหลาย อีกทั้งยังมองข้ามยากอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การตลาดแบบดั้งเดิมยังมีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น
- วัดผลยาก
- กำหนด Target Audience ยาก
- ใช้เงินลงทุนสูง
เช่น เมื่อธุรกิจอยากจะวัดผลลัพธ์ของการทำแคมเปญการตลาดก็จะต้องทำ Brand Lift Marketing เพื่อศึกษาว่าลูกค้าสามารถจดจำแบรนด์ได้มากขึ้นหรือไม่ และความสามารถในการติดตามและวัดผลของแคมเปญไปตลอดเส้นทางก็เป็นจุดได้เปรียบของ Performance Marketing
เมื่อเทียบกันแล้ว Performance Marketing ต่างจากการตลาดแบบเดิมอยู่พอสมควร โดยมีคุณลักษณะคือ เป็นการตลาดที่เน้นเรื่องของการวัดผลได้ผ่านตัวเลขที่ชัดเจน (Metric) เช่น จำนวนคนที่มีแนวโน้มที่จะมาเป็นลูกค้า (Lead), อัตราการซื้อ (Conversion) ไปจนถึง ต้นทุนของสิ่งที่ต้องการ (Cost per Action) เป็นต้น ตามแต่วัตถุประสงค์ที่ต้องการของแคมเปญ
ทำไมธุรกิจถึงห้ามมองข้าม Performance Marketing?
ในเมื่อ Performance Marketing ช่วยให้ธุรกิจสามารถทราบถึงประสิทธิภาพของแคมเปญได้มากขึ้น สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่า Input ที่ใส่เข้าไปให้ Outcome ออกมาเป็นแบบไหน ดังนั้น ในภาพรวมแล้ว การตลาดแบบใหม่นี้จึงเป็นกุญแจที่ทำให้ทำการตลาดได้อย่างตรงเป้าได้มากขึ้นในหลายแง่มุม เช่น
- ใช้งบได้ตรงเป้า: สามารถกำหนดงบประมาณให้เหมาะสมกับผลลัพธ์ที่ต้องการของแต่ละแคมเปญ
- วัดผลได้ชัดเจน: ช่วยให้เห็นว่าแคมเปญมีประสิทธิภาพหรือไม่ เทียบกับ Input ที่ใส่เข้าไป โดยอาจทำออกมาในรูปแบบ Dashboard เพื่อวัดผล
- ปรับแผนได้ตรงจุด: สามารถปรับกลยุทธ์ของแคมเปญได้อย่างเหมาะสม จากการติดตาม Metrics ต่าง ๆ ที่ชัดเจน
- เจอเป้าหมายที่ตรงใจ: ช่วยธุรกิจเจอกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม และมีโอกาสในการเปลี่ยนกลุ่มนั้นเป็นลูกค้าจริง
แน่นอนว่า Traditional Marketing หรือการตลาดออฟไลน์ยังมีส่วนสำคัญในการทำการตลาดของแต่ละแบรนด์ แต่ Performance Marketing หรือการทำการตลาดแบบวัดผลได้ผ่านช่องทางออนไลน์ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้แบรนด์สามารถใช้ต้นทุนได้อย่างคุ้มค่า ทำงานได้มีประสิทธิภาพ และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้อย่างตรงจุด
แบรนด์ในยุคที่เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญของการทำธุรกิจจึงต้องให้ความสนใจ Performance Marketing อย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เสียเปรียบคู่แข่งรายอื่น ๆ ที่พร้อมปรับตัวไปในกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงและฉกฉวยความได้เปรียบจากการตลาดแบบใหม่นี้
Leave a Reply